วันพุธที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2560

วาเลนไทน์


เกร็ดความรู้เกี่ยวกับผลไม้ล้างสารพิษ

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับผลไม้ล้างสารพิษ





เกร็ดความรู้เกี่ยวกับผลไม้ล้างสารพิษ

การรับประทานอาหารบางครั้งก็มีทั้งประโยชน์และโทษ
แล้วถ้าเกิดร่างกายได้รับสารพิษ ควรจะทำอย่างไร ?

วันนี้เกร็ดความรู้มีผลไม้ที่สามารถล้างสารพิษออกจากร่างกายมาฝากกันค่ะ

ผลไม้ล้างสารพิษ หนึ่งทางเลือกที่ดีๆสำหรับคนรักสุขภาพ


คุณรู้หรือไม่ว่า…..

“บางครั้งอาหารที่เรารับประทานเข้าไปอาจมีสารพิษตกค้าง!!”

“หากสารพิษสะสมในร่างกายในปริมาณสูงจะส่งผลให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา!!”

การหันมาเลือกรับประทานสิ่งมีประโยชน์อย่าง “ผลไม้” จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยล้างสารพิษใน ตับ ไต ลำไส้ ผิวหนัง ได้ อีกทั้งยังช่วยป้องกันการจับตัวของสารพิษ รวมถึงช่วยขับของเสีย ซึ่งสารพิษต่างๆ ที่สะสมอยู่ในร่างกายอาจมาจากควันพิษในอากาศ สารเจือปนในอาหาร อย่างสีผสมอาหาร สารกันเสีย ยาฆ่าแมลงได้เช่นกัน....

เรามาดูกันว่าผลไม้แต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติในการขับสารพิษอย่างไรกันบ้าง!!!



 

ชนิดแรกคือ “แอปเปิ้ล” ผลไม้ที่ดีที่สุดสำหรับการขจัดของเสียออกจากร่างกาย แอปเปิ้ลมีสารสำคัญหลายชนิด เช่น เบตาแคโรทีน วิตามินซี และเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำที่ชื่อเพคทิน ซึ่งสารนี้จะช่วยกำจัดสารพิษทั้งยังป้องกันไม่ให้โปรตีนในลำไส้เกิดการบูดเน่า แอปเปิ้ลยังมีเส้นใยมาก ซึ่งจะทำหน้าที่ทำความสะอาดลำไส้ ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดี การรับประทานแอปเปิ้ลที่ดีควรล้างให้สะอาดโดยไม่ปอกเปลือกเพราะจะทำให้ไม่เสียคุณค่าทางโภชนาการไป
 

ชนิดต่อมาเป็น แตงโม มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ดังนั้นจึงช่วยฟอกล้างไตได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังใช้รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ลดความดันโลหิต และทำให้สบายท้อง แตงโม เป็นผลไม้ฉ่ำน้ำ มีความเย็น รสหวาน รับประทานเป็นผลไม้แก้กระหายคลายร้อนได้อย่างดี หรือดื่มเป็นน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ น้ำแตงโม ยังช่วยทำให้ร่างกายขับปัสสาวะได้ดี จึงมีผลช่วยล้างไต ล้างกระเพาะปัสสาวะ ไม่ให้ร่างกายมีการสะสมกรดยูริค อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคไขข้อ โรคเกาต์
 

ถัดมาได้แก่ องุ่น มีฤทธิ์เป็นสารฟอกล้างสำหรับผิวหนัง ตับ ลำไส้ และไตโดยเฉพาะ เนื่องจากองุ่นมีคุณสมบัติรักษาน้ำมูกที่ออกมาจากเยื่อเมือกต่างๆในร่างกายองุ่นยังให้พลังงานสูงและนำไปใช้ได้ง่าย อุดมด้วยเกลือแร่ ดังนั้นจึงช่วยบำรุงเลือดและซ่อมสร้างเซลล์ในร่างกาย การรับประทานองุ่นเป็นประจำ จะมีส่วนช่วยในการบำรุงสมอง บำรุงหัวใจ แก้กระหาย ขับปัสสาวะ บำรุงกำลัง คนที่ร่างกายผอมแห้งแรงน้อย แก่ก่อนวัย ไม่มีเรี่ยวแรง ถ้ารับประทานองุ่นเป็นประจำ จะช่วยเสริมทำให้ร่างกายค่อยๆแข็งแรงขึ้นได้
 

สัปปะรด จัดเป็นผลไม้อมเปรี้ยวอมหวานอีกชนิดหนึ่งที่สามารถล้างสารพิษได้และยังสามารถนำไปทำอาหารทั้งคาวและหวานได้หลายชนิด ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายมากมาย สัปปะรดมีเอนไซม์โบรมีลินสูง เอนไซม์นี้ช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น เชื่อกันว่าสัปปะรดช่วยรักษาอาการอักเสบในทางเดินอาหาร ช่วยในการซ่อมแซมส่วนต่างๆที่สึกหรอ ช่วยการทำงานของต่อมไร้ท่อ กำจัดน้ำมูก ย่อยอาหาร ขับเหงื่อ บำรุงกำลัง
 


ส่วน มะละกอและมะม่วง ทั้งสองอย่างนี้มีลักษณะคล้ายกัน ผลไม้ทั้งสองชนิดมีเอนไซม์ชื่อว่าพาเพน ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับน้ำย่อยเพปซินในกระเพาะอาหาร จึงช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น ช่วยทำความสะอาดลำไส้และช่วยย่อยอาหาร เชื่อกันว่ามะละกอยังช่วยลดอาการซึมเศร้าได้อีกด้วย
 

ชนิดสุดท้าย อะโวคาโด เราอาจยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ปัจจุบันสามารถหาซื้ออะโวคาโดได้จากตลาดทั่วไป ในอะโวคาโดมีสารกลูตาไทโอน ที่สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ทั้งช่วยจับสารพิษที่เป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งกว่า 30 ชนิด และขณะเดียวกันก็ช่วยให้ตับกำจัดของเสียจำพวกสารเคมีและโลหะหนัก การรับประทานอะโวคาโดสามารถทานได้สดๆหรือนำมาดัดแปลงทำเป็นสลัดอะโวคาโดเพื่อเปลี่ยนรสชาติในการรับประทานได้ดีอีกทางหนึ่งด้วย

วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ลักษณะของไมยราบ

ลักษณะของไมยราบ

  • ต้นไมยราบ มีถิ่นกำเนิดในแถบอเมริกาใต้ ซึ่งประเทศไทยได้มีการนำเข้ามาโดยกรมทางหลวงเพื่อนำมาใช้คลุมหน้าดิน โดยจัดเป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี มักแผ่ทอดเลื้อยตามพื้นดิน บางครั้งจะสูงถึง 1 เมตร ต้นมีน้ำตาลแดง มีขนาดเล็ก และมีขนหยาบ ๆ ปกคลุมที่ลำต้น แกนก้านใบ ท้องใบ รวมไปถึงช่อดอก และขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด
  • ใบไมยราบ จัดเป็นใบประกอบแบบขนนก 2 ชั้น แกนกลางรวมกับก้านใบ มีความยาวประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร ส่วนใบย่อยมี 1-2 ใบ มีความยาวประมาณ 1.5-7 เซนติเมตร โดยใบย่อยจะมีอยู่ประมาณ 12-25 คู่ ลักษณะคล้ายรูปขอบขนานหรือคล้าย ๆ รูปเคียวยาวประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร
ต้นไมยราบ
  • ดอกไมยราบ ออกดอกเป็นช่อกลมสีชมพู เป็นดอกเดี่ยวหรือดอกคู่ ออกที่บริเวณซอกใบ ก้านดอกมีความยาวประมาณ 2.5-4 เซนติเมตร ดอกมีจำนวนมาก ไร้ก้าน มีกลีบเลี้ยงขนาดเล็กมาก ประมาณ 0.1 มิลลิเมตร กลีบดอกจะคล้ายกับรูประฆังแคบ มีความยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร กลีบดอกจะมนกลม มีความยาวประมาณ 0.5-0.8 มิลลิเมตร มีเกสรตัวผู้อยู่ 4 อัน และมีรังไข่ยาวประมาณ 0.5 มิลลิกรัม
ดอกไมยราบ
  • ผลไมยราบ มีลักษณะเป็นฝักแห้ง แบน ยาวเรียว ฝักมีหลายฝักในแต่ละช่อดอก ลักษณะเป็นรูปขอบขนาน ตรง และยาวประมาณ 1.5-1.8 เซนติเมตร มีขนแข็งปกคลุมตามสันขอบผล ส่วนเมล็ดมีสีน้ำตาลอ่อน เมล็ดแบนเป็นสันนูนตรงกลาง หนึ่งผลมีเมล็ดประมาณ 2-5 เมล็ด ผลหักตามรอยคอด
ไมยราบ เป็นพืชล้มลุกที่มีลักษณะพิเศษ คือ หากได้รับแรงสั่นสะเทือน ก้านและใบก็จะตอบสนองด้วยการหุบตัวลงอย่างรวดเร็ว และยังเป็นพืชที่จัดอยู่ในตระกูลและมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับผักกระเฉด
สมุนไพรไมยราบ ในปัจจุบันได้มีการนำไปศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาต่อยอดนำมาใช้เป็นยารักษาโรคเบาหวาน โดยจากงานวิจัยนี้เองก็เป็นตัวตอกย้ำภูมิปัญญาแพทย์แผนไทยในสรรพคุณของไมยราบ และยังได้มีการยืนยันด้วยว่าการดื่มชาสมุนไพรตัวนี้ต่างน้ำทุกวันก็ไม่มีผลข้างเคียงหรือพิษใด ๆ เลย แม้กระทั่งในสัตว์ทดลองก็ไม่พบถึงอาการผิดปกติแต่อย่างใด นอกจากนี้ไมยราบยังมีสรรพคุณอื่น ๆ อีกมากมาย โดยส่วนที่นำมาใช้ก็ได้แก่ ต้น ราก ใบ และทุกส่วนของต้น (ราก ลำต้น ใบ ดอก ผล) 

สรรพคุณของไมยราบ

  1. ช่วยบำรุงร่างกาย (ทั้งต้น)
  2. ต้นแห้งนำมาต้มกับน้ำกินช่วยแก้อาการอ่อนเพลียได้ (ต้น)
  3. ไมยราบทั้งต้นนำมาสับเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำมาตากจนแห้งสนิทและนำมาต้มกินต่างน้ำ สามารถช่วยรักษาโรคกษัยได้ (โรคกษัย คือ โรคสังขารเสื่อม ซูบซีด ผอมแห้งแรงน้อย เบื่ออาหารง่าย มีอาการเจ็บปวดเมื่อยตามตัว โลหิตจาง) (ทั้งต้น)
  4. ช่วยแก้เบาหวาน ลดระดับน้ำตาลในเลือด เพราะสารสกัดน้ำจากต้นและรากของไมยราบขนาด 20 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมสามารถออกฤทธิ์ช่วยลดระดับน้ำตาลได้เทียบเท่ากับการใช้ยามาตรฐานโทลบูตาไมด์ (Tolbutamide) ขนาด 100 มก./กก. น้ำหนักตัว โดยจะออกฤทธิ์ได้อย่างต่อเนื่องนานถึง 5 ชั่วโมง
  5. ทุกส่วนของต้นนำมาหั่นแล้วคั่วโดยใช้ไฟอ่อน ๆ จะมีกลิ่นหอม สามารถนำไปชงดื่มแทนชา ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ (ทั้งต้น)
  6. ช่วยขับโลหิต (ต้น)
  7. ช่วยแก้เด็กเป็นตานขโมย (ทั้งต้น)
  8. ช่วยแก้ตานซางในเด็กเล็ก (ทั้งต้น)
  9. ช่วยในการระงับประสาท (ราก)
  10. ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ (ทั้งต้น)
  11. ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ (ทั้งต้น)
  12. ช่วยทำให้สงบประสาท (ทั้งต้น)
  13. ช่วยทำให้ตาสว่าง (ราก)
  14. ช่วยแก้อาการตาบวม ตาเจ็บ (ทั้งต้น)
  15. ช่วยแก้ไข้ออกหัด (ทั้งต้น)
  16. ช่วยแก้อาการไอ (ราก)
  17. ช่วยขับเสมหะ (ราก)
  18. ช่วยแก้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง (ราก)
  19. ช่วยบำรุงกระเพาะอาหาร (ราก)
  20. ช่วยแก้อาการบิด ท้องร่วง (ราก)
  21. ช่วยแก้กระเพาะอาหารอักเสบ (ทั้งต้น)
  22. ช่วยแก้ลำไส้อักเสบ (ทั้งต้น)
  23. ช่วยแก้ปัญหาระบบย่อยอาหารของเด็กไม่ดีได้ (ราก)
  24. ช่วยแก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ (ต้น, ทั้งต้น)
  25. ช่วยขับปัสสาวะ (ต้น, ราก, ทั้งต้น)
  26. ช่วยแก้นิ่ว ขับนิ่ว (ทั้งต้น)
  27. ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร (ราก)
  28. ช่วยแก้ไส้เลื่อน ด้วยการนำทุกส่วนของต้นมาต้มกิน (ทั้งต้น)
  29. ช่วยขับระดูขาว (ต้น, ทั้งต้น)
  30. ช่วยรักษาโรคปวดเวลามีประจำเดือน (ราก)
  31. ช่วยแก้ไตพิการ (ต้น, ทั้งต้น)
  32. ช่วยแก้เริม (ใบ)
  33. ช่วยแก้อาการงูสวัด (ใบ)
  34. ช่วยแก้ไฟลามทุ่ง (ใบ)
  35. ช่วยรักษาโรคพุพอง (ใบ)
  36. ช่วยรักษาแผลเรื้อรังต่าง ๆ (ใบ)
  37. ช่วยแก้อาการผื่นคันตามตัว (ทั้งต้น)
  38. ช่วยแก้แผลฝี (ทั้งต้น)
  39. ช่วยรักษาแผลฝีหนอง (ใบ)
  40. ช่วยแก้อาการปวดข้อได้ (ทั้งต้น)
  41. ช่วยแก้อาการบวมตามเนื้อตามตัว (ทั้งต้น)
  42. ช่วยแก้อาการปวดหลังปวดเอว หรือจะนำมาผสมกับดอกคำฝอย ใบเตยหอม ใบหม่อน ทองพันชั่ง โดยใช้ไมยราบเป็นตัวยาหลักในการต้มดื่มเพื่อสุขภาพและช่วยแก้อาการปวดหลังได้ (ทั้งต้น)
  43. ใบไมยราบนำมาตำพอกช่วยแก้อาการปวดบวมได้ (ใบ)
  44. สรรพคุณไมยราบ ช่วยแก้หัด (ทั้งต้น)
  45. ช่วยขับน้ำนม (ทั้งต้น)
  46. สารบริสุทธิ์สกัดจากต้นของไมยราบ สามารถนำมาใช้ทำเป็นโทนเนอร์เช็ดหน้าหลังอาบน้ำ เพื่อใช้ฆ่าเชื้อที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิวและทำความสะอาดผิวหน้าได้อีกด้วย (สารสกัดจากต้น)

ประโยชน์ของไมยราบ

  • ประโยชน์ของต้นไมยราบ ดั้งเดิมก็คือการนำมาใช้ปลูกเพื่อคลุมหน้าดิน แต่ก็ยังมีประโยชน์อีกหลากหลายด้าน โดยมีการใช้ลำต้นไมยราบนำมาใช้ทำเป็นรั้วบ้าน ไม้ค้ำผัก หรือนำมาใช้ทำเป็นฟืน หรือใช้เผาถ่านเพื่อประกอบอาหาร รวมไปถึงการใช้ไมยราบสุมไฟให้วัวให้ควาย เพื่อขับไล่ยุง ริ้น ไร ในช่วงพลบค่ำได้อีกด้วย
  • นอกจากนี้ประโยชน์ไมยราบด้านอื่น ๆ คือการนำลำต้นของไมยราบมาดัดทำเป็นสิ่งประดิษฐ์ เช่น การทำกรอบรูป การทำเป็นกระถางต้นไม้ในรูปแบบต่าง ๆ เพราะต้นไมยราบเป็นไม้ที่ดัดง่าย สามารถดัดเป็นรูปทรงต่าง ๆ ได้ จะใช้ทำเป็นกระเช้าหรือกระถางใส่กล้วยไม้ หรือไม้ดอกไม้ประดับ รวมไปถึงโครงกระเป๋าต่าง ๆ ก็ได้เช่นกัน
แหล่งอ้างอิง : นพพล เกตุประสาท หน่วยอนุรักษ์และใช้ประโยชน์พืชพรรณ ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน, สารานุกรมพืชในประเทศไทย (The Encyclopedia of Plants in Thailand), ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย ส่วนพฤกษศาสตร์ป่าไม้ สำนักวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้ (เต็ม สมิตินันทน์), เว็บไซต์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, เว็บไซต์มูลนิธิสุขภาพไทย, เว็บไซต์สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน), www.gotoknow.org (คุณอานนท์ ภาคมาลี), www.jamrat.net (จำรัส เซ็นนิล)

วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

โครงการฝนหลวง

โครงการฝนหลวง

ความเป็นมา
         โครงการพระราชดำริฝนหลวง เป็นโครงการที่ก่อกำเนิดจากพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงห่วงใยในความทุกข์ยากของพสกนิกรในท้องถิ่นทุรกันดาร ที่ต้องประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ เพื่ออุปโภคบริโภค และเกษตรกรรม อันเนื่องมาจากภาวะแห้งแล้งซึ่งมีสาเหตุมาจาก ความผันแปร และคลาดเคลื่อนของฤดูกาลตามธรรมชาติ กล่าวคือ ฤดูฝนเริ่มต้นล่าเกินไป หรือหมดเร็วกว่าปกติหรือฝนทิ้งช่วงยาวในช่วงฤดูฝน จากพระราชกรณียกิจ ในการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกร ในทุกภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอนับแต่เสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ จนตราบเท่าทุกวันนี้ ทรงพบเห็นว่าภาวะแห้งแล้ง ได้ทวีความถี่ และมีแนวโน้มว่าจะรุนแรงยิ่งขึ้นตามลำดับ เพราะนอกจากความผันแปร และคลาดเคลื่อนของฤดูกาลตามธรรมชาติแล้ว การตัดไม้ทำลายป่า ยังเป็นสาเหตุให้สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้แก่ราษฎร ในทุกภาคของประเทศ ทำความเสียหายแก่เศรษฐกิจโดยรวมของชาติเป็นมูลค่ามหาศาลในแต่ละปี ตามเส้นทางที่เคยเสด็จพระราชดำเนิน ทั้งภาคพื้นดิน ทางอากาศยานดังกล่าว ทรงสังเกตเห็นว่ามีเมฆปริมาณมากปกคลุมท้องฟ้า แต่ไม่สามารถก่อรวมตัวกัน จนเกิดเป็นฝนได้ เป็นเหตุให้เกิดภาวะฝนทิ้งช่วงระยะยาวทั้ง ๆ ที่เป็นช่วงฤดูฝน ทรงคิดคำนึงว่า น่าจะมีมาตรการทางวิทยาศาสตร์ ที่จะช่วยให้เมฆเหล่านั้นก่อรวมตัวกันจนเกิดเป็นฝนได้ ทรงเชื่อมั่นว่า ด้วยลักษณะของกาลอากาศ ภูมิอากาศ และภูมิประเทศของประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคเขตร้อน และอยู่ในอิทธิพลของฤดูมรสุมของทวีปเอเชีย โดยเฉพาะฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งเป็นฤดูฝน และเป็นฤดูเพาะปลูกประจำปีของประเทศไทย จะสามารถดัดแปรสภาพอากาศ ให้เกิดเป็นฝนตกได้ อย่างแน่นอน ตามที่ทรงเล่าไว้ใน RAINMAKING STORY จาก พ.ศ. ๒๔๙๘ เป็นต้นมา ทรงศึกษาค้นคว้า และวิจัยทางเอกสาร ทั้งด้านวิชาการอุตุนิยมวิทยา และการดัดแปรสภาพอากาศ ซึ่งทรงรอบรู้ และเชี่ยวชาญ เป็นที่ยอมรับทั้งใน และต่างประเทศ จนทรงมั่นพระทัย จึงพระราชทานแนวคิดนี้แก่ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล ผู้เชี่ยวชาญในการวิจัยประดิษฐ์ทางด้านเกษตรวิศวกรรม ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขณะนั้น ในปีถัดมา และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้หาลู่ทางที่จะทำให้เกิดการทดลองปฏิบัติการในท้องฟ้าให้เป็นไปได้
          การทดลองในท้องฟ้าเป็นครั้งแรก จนถึงปี พ.ศ.๒๕๑๒ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดตั้งหน่วยบิน ปราบศัตรูพืชกรมการข้าว และพร้อมที่จะให้การสนับสนุน ในการสนองพระราชประสงค์ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล จึงได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาทรงทราบว่า พร้อมที่จะดำเนินการ ตามพระราชประสงค์แล้ว ดังนั้นในปีเดียวกันนั้นเอง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำการทดลองปฏิบัติการจริงในท้องฟ้าเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ ๑-๒ กรกฎาคม ๒๕๑๒ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แต่งตั้งให้ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล เป็นผู้อำนวยการโครงการ และหัวหน้าคณะปฏิบัติการทดลอง เป็นคนแรก และเลือกพื้นที่วนอุทยานเขาใหญ่เป็นพื้นที่ทดลองเป็นแห่งแรก โดยทดลองหยอดก้อนน้ำแข็งแห้ง (dry ice หรือ solid carbondioxide) ขนาดไม่เกิน ๑ ลูกบาศก์นิ้ว เข้าไปในยอดเมฆสูงไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ ฟุต ที่ลอยกระจัดกระจายอยู่เหนือพื้นที่ทดลองในขณะนั้น ทำให้กลุ่มเมฆ ทดลองเหล่านั้น มีการเปลี่ยนแปลงทางฟิสิกส์ของเมฆอย่างเห็นได้ชัดเจน เกิดการกลั่นรวมตัวกันหนาแน่น และก่อยอดสูงขึ้นเป็นเมฆฝนขนาดใหญ่ ในเวลาอันรวดเร็วแล้วเคลื่อนตัวตามทิศทางลม พ้นไปจากสายตา ไม่สามารถสังเกตได้ เนื่องจากยอดเขาบัง แต่จากการติดตามผลโดยการสำรวจทางภาคพื้นดิน และได้รับรายงานยืนยันด้วยวาจาจากราษฎรว่า เกิดฝนตกลงสู่พื้นที่ทดลองวนอุทยานเขาใหญ่ในที่สุด นับเป็นนิมิตหมายบ่งชี้ให้เห็นว่า การบังคับเมฆให้เกิดฝนเป็นสิ่งที่เป็นไปได้
วัตถุประสงค์
          โครงการฝนหลวง เกิดขึ้นจากพระราชดำริส่วนพระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ ๒๔๙๕ เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ทรงรับทราบถึงความเดือดร้อน ทุกข์ยากของราษฎร และเกษตรกรที่ขาด แคลนน้ำ อุปโภค บริโภค และการเกษตร จึงได้มีพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทาน โครงการพระราชดำริ "ฝนหลวง" ให้กับ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล ไปดำเนินการ ซึ่งต่อมา ได้เกิดเป็นโครงการค้นคว้าทดลอง ปฏิบัติการฝนเทียมหรือฝนหลวงขึ้น ในสังกัด สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อปี ๒๕๑๒ ด้วยความสำเร็จของ โครงการ จึงได้ตราพระราชกฤษฎีกา ก่อตั้งสำนักงานปฏิบัติการฝนหลวง ขึ้นในปี พ.ศ.๒๕๑๘ ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อเป็นหน่วยงานรองรับโครงการ พระราชดำริ "ฝนหลวง" ต่อไป
          สำนักงานปฏิบัติการฝนหลวง ไม่สามารถขยายขอบเขตการให้บริการฝนหลวง แก่ประชาชนและเกษตรกรได้อย่างทั่วถึง และเพียงพอกับความต้องการใช้ประโยชน์ได้ เช่น ในฤดูแล้งปี พ.ศ.๒๕๓๐ ได้เกิดภาวะขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภคใน ๘ จังหวัด ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือ จว.นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ร้อยเอ็ด กาฬสินธ์ ขอนแก่น มหาสารคาม และชัยภูมิ อย่างรุนแรง ได้ทราบถึงพระเนตร พระกรรณ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๓๐ จึงได้มีกระแสพระราชดำรัสกับผู้บัญชาการทหารบก ให้หาลู่ทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยเร็ว ด้วยเหตุนี้จึงได้เกิดโครงการน้ำพระราชหฤทัยจากในหลวง หรือโครงการอีสานเขียวขึ้น
          การทำฝนหลวงเป็นกรรมวิธีการเหนี่ยวนำน้ำจากฟ้า จะต้องให้เครื่องบิน ที่มีอัตราการ บรรทุกมากๆ บรรจุสารเคมีขึ้นไปโปรยในท้องฟ้า โดยดูจากความชื้นของจำนวนเมฆ และสภาพของทิศทางลมประกอบกัน ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดฝนคือ ความร้อนชื้น ปะทะความเย็น และมีแกนกลั่นตัวที่มีประสิทธิภาพ ในปริมาณที่เหมาะสมกล่าวคือ เมื่อมวลอากาศร้อนชื้น ที่ระดับผิวพื้นขึ้นสู่อากาศเบื้องบน อุณหภูมิของมวลอากาศ จะลดต่ำลงจนถึงความสูงที่ระดับหนึ่ง อุณหภูมิที่ลดต่ำลงนั้นมากพอ ก็จะทำให้ไอน้ำในมวลอากาศอิ่มตัว จะเกิดขบวนการกลั่นตัวเองของไอน้ำในมวลอากาศขึ้นบนแกนกลั่นตัว เกิดเป็นฝนตกลงมา ฉะนั้นสารเคมีที่ใช้จึงประกอบด้วยสูตรร้อน เพื่อใช้กระตุ้นเร่งเร้ากลไกการหมุนเวียนของบรรยากาศสูตรเย็น ใช้เพื่อกระตุ้นกลไกการรวมตัวของละอองเมฆ ให้โตขึ้นเป็นเม็ดฝน และสูตรที่ใช้เป็นแกนดูดซับความชื้น เพื่อใช้ กระตุ้นกลไก ระบบการกลั่นตัวให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
รายละเอียดโครงการ
          การทำฝนหลวงนี้มีขั้นตอน ยุ่งยากหลายประการ จึงต้องใช้บุคลากรหลายฝ่ายร่วมมือกัน จึงจะประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ต้องมีหลายหน่วยงานเข้าร่วมกัน สร้างสรรค์โครงการนี้ ให้เป็นฝันที่เป้นจริงของพี่น้องชาวอีสานในส่วนของฝนหลวงพิเศษ
โครงการฝนหลวงพิเศษ หากสามารถช่วยเหลือพี่น้องชาวอีสานจากภาวะแห้งแล้ง ถึงแม้จะมีการสร้างเขื่อนหรือ อ่างเก็บน้ำขนาดเล็กในบางส่วนของภูมิภาค แต่ก็ยังไม่ เพียงพอที่จะเก็บกักน้ำสำรับอุปโภค บริโภคและใช้ในการเกษตร โครงการนี้จึงสามารถ บรรเท่าความเดือดร้อนได้ เพราะสามารถที่จะเข้าไปปฏิบัติ ภารกิจในจุดต่างๆ ซึ่งเกิด ภาวะแห้งแล้งได้ แม้ฝนที่ตกในบางครั้ง อาจจะผิดเป้าหมายไปบ้าง เนื่องจาก ข้อผิดพลาดของสภาพลมฟ้าอากาศ หรือจากการคำนวน แต่ก็เป็น เพียงส่วนน้อย เมื่อเทียบกับผลสำเร็จซึ่งนับได้ว่าอยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ
          จากที่กล่าวมาในข้างต้น สามารถพิสูจน์ได้ว่า กองทัพเรือไม่ได้มีเพียงหน้าที่ในการ ปกป้องน่านน้ำไทยเท่านั้น แต่ยังได้เข้าช่วยเหลือราษฎรในภูมิภาคต่างๆ ในหลาย โครงการที่ร่วมมือกับภาครัฐอื่นๆ เช่น โครงการดับไฟป่าที่ จว.เชียงใหม่ สามารถรักษา พื้นที่ป่าให้พ้นจากความเสียหายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งที่เพื่อรับใช้เบื้องพระยุคลบาท ในการช่วยเหลือราษฎรของพระองค์ท่าน ให้อยู่ดีกินดี มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ความรับผิดชอบของของทัพเรือที่มีต่อโครงการฝนหลวง
          กองทัพเรือได้ร่วมเข้าโครงการน้ำพระทัยจากในหลวงในส่วนของ ฝนหลวงพิเศษ มาตั้งแต่เริ่มต้น โดยผู้บัญชาการทหารเรือ มีคำสั่งให้ดำเนินการดัดแปลง บ.C-47 จำนวน ๒ ลำ เพื่อใช้ในการโปรยสารเสมีและทำการทดลองในช่วงแรก ตั้งแต่ ๑๕ เม.ย.-๓๐ ต.ค.พ.ศ.๒๕๓๐ รวม ๒๐๐ วัน ปรากฎว่าประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ และได้รับหน้าที่รับผิดชอบทำฝนหลวง ในพื้นที่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน โดยส่ง บ. C-47 ๑ ลำ ร่วมกับกรมตำรวจ ซึ่งส่ง บ.แบบปอร์ตเตอร์เข้าร่วมโครงการ จำนวน ๓ ลำ มีศูนย์ปฏิบัติการอยู่ที่สนามบินขอนแก่น ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง เป็นหน้าที่รับผิดชอบของกองทัพอากาศ ในปี พ.ศ.๒๕๓๕ บ.C-47 ได้เลิกปฏิบัตภารกิจ เนื่องจากมีอายุการใช้งานมานาน และมีปัญหาด้านการซ่อมบำรุง เนื่องจากบริษัทผู้ผลิต เลิกสายการผลิตอะไหล่ กองการบินทหารเรือจึงได้จัด บ.ธก.๒ (N-24A) สังกัดฝูงบิน ๒๐๑ กองบิน ๒ ทดแทน โดยเริ่มปฏิบัติภารกิจตั้งแต่ ๑๖ มี.ค.๓๕ ต่อมาในฤดูแล้งปีเดียวกันเกิด ภาวะฝนทิ้งช่วง ทำให้ปริมาณน้ำเหนือเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนเจ้าพระยา อยู่ในระดับต่ำมาก เพื่อให้ภาวะวิกฤตนี้หมดสิ้นไป กองทัพเรือจึงได้เข้าร่วมแก้ไขปัญหานี้โดยส่ง บ.ธก.๒ อีก ๑ ลำเข้าร่วมปฏิบัติภารกิจที่ จว.พิษณุโลก ตั้งแต่ ๑๖ ก.ค.๓๕
ที่ตั้งโครงการ
          กองการบินทหารเรือ ต.พลา อ.บ้านฉาง จ.ระยอง 

คำศัพท์ภาษาอังกฤษ

กระเพราไก่ไข่ดาว

วิธีทำผัดกระเพราไก่ เมนูไก่ ประเภทผัด เมนูอาหารไทย กระเพราไก่ ไข่ดาว กับข้าวจากไก่ ผัดกระเพราไก่ไข่ดาว ภาษาอังกฤษ เรียก Basil Fried Chicken and fried egg เป็นอาหารจานด่วน ผัดกะเพราไก่ เป็นอาหาร เมนูชื่อดัง มีวิธีทำทีละขั้นตอน ไม่ยุ่งยาก และเหมาะสำหรับผู้ที่นิยมทำอาหารไทย ผัดกะเพราไก่ เมนูอาหารจานด่วนยอดนิยม ที่ทำทานเองที่บ้านก็ได้ไม่ยากเลย ด้วยความเผ็ดของพริกกับกลิ่นหอมของใบกะเพรา รับรองความอร่อย
กระเพราเป็นพืชสมุนไพร ชั้นยอด ช่วยขับลม บำรุงธาตุไฟได้ดี ผัดกระเพราไก่ ไข่ดาว เป็นเมนูเด็ดมาก ตามร้านอาหารตามสั่ง ต้องมีเมนูนี้ ผัดกระเพรา อาหารไทย ที่ถูกปากคนทั่วโลก เต็มไฟด้วยสมุนไพร พริก กระเทียม พริก และใบกระเพรา ต่างก็เป็นสมุนไพรชั้นยอด

ส่วนผสมสำหรับทำผัดกระเพราไก่ ไข่ดาว

  • เนื้อไก่สับ 1 ถ้วย
  • กระเทียมบด 1 ช้อนชา
  • น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
  • ซิอิ๊วขาว 2 ช้อนชา
  • น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาล 1 ช้อนโต้ะ
  • ผงรสดี 1 ช้อนชา
  • ใบกะเพรา 1 ถ้วยตวง
  • พริกบด 1 ช้อนโต้ะ

วิธีทำผัดกระเพราไก่ ไข่ดาว

  1. ตั้งน้ำมันในกระทะจนร้อน จากนั้นใส่กระเทียม พริก และผัด 5-10 วินาที ผัดต่อไปอีกสักพักจนกลิ่นเริ่มหอม ใส่เนื้อไก่ลงต่อและผัดจนเนื้อไก่สุกทั่ว
  2. ปรุงรสด้วยซีอิ้วขาว น้ำตาล ผงรสดี น้ำปลา น้ำเปล่านิดหน่อย และใส่ใบกระเพราลงไปในกระทะ ปิดไฟจากนั้นผัดให้กระเพราผสมกับเนื้อไก่่่จนทั่ว ตักใส่จาน เสิรฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ ในบางครั้งไข่เจียวหรือไข่ดาวมักจะเสิรฟร่วมด้วย ทานคู่กับพริกน้ำปลา

พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2559

พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2559


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2559



โปรดเกล้าฯ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับใหม่ลงในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เริ่มใช้บังคับ พ.ค.2560 นี้ คณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์เพื่อขอให้ศาลสั่ง "บล็อก-ปิด" เว็บไซต์ยังอยู่ แม้เคยถูกลงชื่อค้านถึง 300,000 รายชื่อ
วานนี้ (24 ม.ค. 2560) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 หรือ "พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์" ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเห็นชอบไปเมื่อปลายปี 2559 และได้รับการโปรดเกล้าฯ จากพระมหากษัตริย์แล้ว อย่างไรก็ตาม กว่าที่กฎหมายนี้จะมีผลใช้บังคับก็อีก 120 วันถัดไป หรือช่วงปลาย พ.ค.2560
สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม มีอาทิ
- เพิ่มเติมความผิดของการส่งสแปมเมล์ โดยกำหนดโทษปรับ 200,000 บาท (มาตรา 11)
- แก้ไขให้ไม่สามารถนำไปฟ้องฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญาได้ (มาตรา 14(1))
- แก้ไขให้ยกเว้นความผิดสำหรับผู้ให้บริการได้หากยอมลบข้อมูลที่ผิดกฎหมาย (มาตรา 15)
- เพิ่มเติมให้ผู้ใดที่มีข้อมูลซึ่งศาลสั่งให้ทำลายอยู่ในครอบครองจะต้องทำลายไม่เช่นนั้นจะได้รับโทษด้วย (มาตรา 16/2)
- เพิ่มเติมให้มีคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์ ขึ้นมาพิจารณาว่าข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดที่จะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน สามารถส่งฟ้องศาลเพื่อระงับหรือลบข้อมูลดังกล่าวได้ (มาตรา 20) ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม เนื้อหาหลายมาตราใน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์นี้ จะต้องให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ออกกฎกระทรวงหรือประกาศ เพื่อกำหนดรายละเอียดการใช้บังคับต่อไป

Image 
คำบรรยายภาพนายไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ของ สนช. เคยกล่าวว่า กฎหมายนี้ได้มีการปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น เช่น มาตรา 14(1) ที่เดิมใช้ฟ้องหมิ่นประมาท ก็แก้ให้ชัดเจนว่าหมายถึงการปลอมตัวออนไลน์เพื่อไปหลอกเงิน หรือ phishing เท่านั้น ซึ่งจะทำให้ต่อไปคดีหมิ่นประมาทที่ฟ้องตามมาตรานี้ถูกศาลยกฟ้องทั้งหมด โดยคดีน่าจะหายไปราว 50,000 คดี หรือมาตรา 15 ที่ให้ผู้ให้บริการไม่มีความผิดทันทีหากยอมลบข้อมูลที่ผิดกฎหมาย ส่วนมาตรา 20 ในคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์ 9 คน ก็ให้มีตัวแทนจากภาคเอกชนถึง 3 คน และการกลั่นกรองก่อนจะถึงศาล ก็มีถึง 3 ขั้นตอน ประกอบด้วยคณะอนุกรรมการ คณะกรรมการ และ รมว.ดีอี

ด้านนายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันอิศรา กล่าวว่า บทบัญญัติของกฎหมายไม่ได้น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวคือการใช้อำนาจโดยมิชอบของภาครัฐ ที่ผ่านมาสำนักข่าวอิศราเคยถูกผู้ให้บริการแจ้งขอให้ปิด URL ของข่าวที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลนี้ 2 ข่าว โดยอ้างว่าเป็นคำสั่งของผู้มีอำนาจ แต่ไม่ระบุตัวผู้ออกคำสั่ง ถือเป็นการใช้อำนาจตามมาตรา 20 ระงับข้อมูลที่ถูกพิจารณาว่าผิดกฎหมาย แต่กลับใช้อำนาจผ่านผู้ให้บริการแทนที่จะไปศาล
สำหรับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์นี้ เคยถูกคัดค้านอย่างหนัก ก่อนการพิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 ในที่ประชุมของ สนช. ช่วงปลายปี 2559 โดยมีผู้ร่วมลงชื่อกว่า 300,000 คนในเว็บไซต์ change.org เรียกร้องให้ สนช.ชะลอการพิจารณาไปก่อน ซึ่งหนึ่งในประเด็นสำคัญที่หลายฝ่ายเป็นห่วงคือมาตรา 20/1 ที่ให้คณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์เสนอศาลบล็อกหรือปิดเว็บไซต์ใดก็ได้ ถ้าเห็นว่าขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี แม้ไม่ผิดกฎหมายอื่นใด ซึ่งนับแต่เป็นร่าง พ.ร.บ. จนที่ประกาศลงในเว็บไซต์ราชกิจจาฯ เนื้อหาในส่วนนี้ก็ยังอยู่ แม้จะมีการย้ายจากมาตรา 20/1 มาเป็นมาตรา 20 และเพิ่มจำนวนคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์ จาก 5 คน เป็น 9 คน ก็ตาม